วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

$score=65; if($score < 50){echo 'grade 0';}

else if($score <55){echo 'grade 1';}

else if($score <60){echo 'grade 1.5';}

else if($score <65){echo 'grade 2';}

else if($score <70){echo 'grade 2.5';}

else if($score <75){echo 'grade 3';}

else if($score <80){echo 'grade 3.5';}

else{echo 'grade 4';}

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด



สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด (สุขกายสบายใจ)

          "ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

"ฮีโมโกลบิน" มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน

          ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
          โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

          เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67

          ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่ มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

          กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล

          กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต


1.ทับทิม

          ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2.แก้วมังกร

          อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3.สตรอว์เบอร์รี่

          ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4.กล้วย

          ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี


5.แตงโม

          จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

          ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิต เลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่ มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว

ผลไม้ต้องห้ามยามตั้งครรภ์

ผลไม้ต้องห้ามยามตั้งครรภ์


       แม้ผลไม้จะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่เหมาะในช่วงตั้งครรภ์ แต่แม่ท้องก็ต้องเลือกกิน เพราะก็มีผลไม้บางอย่างที่อาจไม่เหมาะสำหรับคนท้องเท่าไรนัก\





สิ่งที่ต้องระวังในผลไม้
แร่ธาตุและสารอาหารบางอย่างในผลไม้ อาจไม่เหมาะกับช่วงของการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้แม่ท้องมีอาการไม่พึงประสงค์ได้

+ กำมะถัน : กำมะถันเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย พบมากในผลไม้ที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ เช่นทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีทั้งใยอาหาร แป้ง น้ำตาล ไขมัน และซัลเฟอร์หรือกำมะถันสูง หากกินในปริมาณมากจะทำให้มีแก๊สในลำไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการท้องอืด

การย่อยสลายกำมะถันทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว อาจทำให้แม่ท้องเหม็นกลิ่น มีอาการคลื่นไส้ได้ง่าย หากอาการแพ้ท้องควรหลีกเลี่ยง นอกจากนี้กำมะถันยังทำให้แม่ท้องมีอาการร้อนใน แน่นท้อง ไม่สบายตัว ยิ่งแม่ท้องช่วงก่อนคลอด อาจเกิด Heartburn หรืออาการจุกเสียดยอดอกที่เกิดจากการน้ำย่อยอาหารไหลย้อนกลับมาที่หลอดอาหาร แม่ท้องจึงไม่ควรกินผลไม้ที่มีกำมะถันในปริมาณมาก เพราะทำให้ท้องอืดง่ายนั่นเอง

+ คาร์โบไฮเดรต : ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตและมีใยอาหารสูง โดยเฉพาะผลดิบจะมีปริมาณของแป้งซึ่งจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมาก ทำให้ต้องใช้เวลาย่อยและดูดซึมช้า เพื่อที่จะเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาล จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการท้องอืด
การที่แม่ท้องกินครั้งละมากๆ กินเร็ว ไม่เคี้ยวให้ละเอียดดีเสียก่อน รวมถึงมดลูกที่มีขนาดเพิ่มขึ้น ไปกดทับกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้การบีบตัว-คลายตัวของกระเพาะอาหาร มีประสิทธิภาพน้อยลง ล้วนแต่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้การกินผลไม้ที่มีแป้งมากๆ จะทำให้แม่ท้องรู้สึกอึดอัด ท้องอืดอาหารไม่ย่อยได้ทั้งสิ้น

สำหรับผลไม้สุกจะผ่านกระบวนการย่อยจากแป้งให้เป็นน้ำตาลมาก่อน เมื่อกินแล้วทำให้ย่อยได้ง่ายมากกว่า แต่ร่างกายก็จะได้รับปริมาณน้ำตาลมากกว่าด้วยเช่นกัน

+ รสหวานในผลไม้ : รสหวานหรือปริมาณคาร์โบไฮเดรตในผลไม้ที่แม่ท้องกิน ไม่ได้เป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แต่การกินผลไม้ที่ให้รสหวานอย่าง ลำไย องุ่น มะม่วงสุก ฯลฯ เป็นประจำ ในปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกาย เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ท้องมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะน้ำหนักเกิน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้ ทำงานได้ไม่เต็มความสามารถ

ลักษณะของผลไม้ต้องห้ามยามท้อง

นอกจากแร่ธาตุและสารอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่ออาการต่างๆ ของแม่ท้องแล้ว ลักษณะของผลไม้ยังเป็นสิ่งที่แม่ท้องสามารถสังเกต และเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า ผลไม้ดังต่อไปนี้ไม่เหมาะกับคุณ

+ ผลไม้ดิบ จะมีปริมาณแป้งมากกว่าน้ำตาล ถ้าได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด เพราะแป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ร่างกายต้องใช้เวลาย่อยนาน เช่น มะม่วงดิบ ฝรั่งดิบ กล้วยดิบ ควรเคี้ยวให้ละเอียดทุกครั้งหากต้องการกิน

+ ผลไม้ที่มียาง ยางจากผลไม้อาจทำให้มีผื่นแพ้ คันที่ผิวหนัง และริมฝีปาก คุณแม่ควรล้างน้ำให้หมดยางหรือปอกเปลือกก่อนกิน เช่น มะปราง มังคุด ลองกอง หรือลางสาด เป็นต้น

+ ผลไม้นอกฤดูกาล นอกจากจะมีราคาแพงแล้ว ผลไม้นอกฤดูอาจมีการใช้สารต่างๆ เพื่อเร่งผลผลิต เช่น ปุ๋ย ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง ฯลฯ ทำให้แม่ท้องได้รับสารเคมีเพิ่มขึ้น

+ ผลไม้ที่ผ่านการแปรรูป เช่น ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้ดอง ผลไม้เชื่อม มีน้ำตาลและเกลือสูง คุณค่าทางโภชนาการลดลงและยังเสี่ยงต่อการได้รับสารปนเปื้อนต่างๆ เช่น บอแรกซ์ สารกันเชื้อรา สารกันบูด และสีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

5 เทคนิคกินผลไม้ยามท้อง

ผลไม้ทุกชนิด ถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้แม่ท้องหมดกังวลและกินได้อย่างสบายใจ หลักในการจำง่ายๆ ก็คือ

1.จำกัดปริมาณการกินผลไม้ที่มีรสหวาน

2.ไม่ควรกินผลไม้แทนอาหารหลักในแต่ละมื้อ

3.เฉลี่ยแล้วแม่ท้องกินผลไม้ได้ 2-3 ชนิดต่อวัน ครั้งละ 5-6 ชิ้นพอคำ

4.ควรกินผลไม้ให้หลากหลาย พิจารณาตามสี เช่น แอปเปิ้ลแดง ฝรั่ง สาลี่ เป็นต้น

5.หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ สำหรับแม่ท้องที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือเป็นเบาหวาน เพราะมีน้ำตาลสูง แต่มีใยอาหารน้อย

เลือกผลไม้ให้เหมาะกับแม่ท้อง

สำหรับแม่ท้องที่โปรดปรานการกินผลไม้ ไปจนถึงแม่ท้องที่กินเพื่อสุขภาพ เรามีคำแนะนำดีๆ สำหรับคุณ เพื่อเป็นตัวเลือกที่ดีและมีประโยชน์ยามตั้งครรภ์

+ ฝรั่งสุก มีวิตามินซีและกากใยสูง ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับแม่ท้องที่น้ำหนักเกิน มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์

+ มะละกอ เป็นยาระบายอ่อนๆ ป้องกันอาการท้องผูก ส่วนเบตาแคโรทีนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น

+ แคนตาลูป มีรสหวานปานกลางและมีปริมาณน้ำมาก จึงทำให้สดชื่น เย็นสบายและมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อแม่ท้อง เช่น โฟเลต

+ แอบเปิ้ลเขียว มีกากใยช่วยขับถ่าย รสหวานอมเปรี้ยวช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง

+ กีวี อุดมด้วยวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ส่วนใยอาหารช่วยการขับถ่าย

+ แตงโม มีปริมาณน้ำมากช่วยให้คลายร้อน เพิ่มความสดชื่น สามารถกินแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม

+ สตรอว์เบอร์รี มีวิตามินซีและใยอาหารสูง ให้พลังงานต่ำ น้ำตาลน้อย รสเปรี้ยวอมหวานช่วยลดอาการแพ้ท้องได้

สุขภาพดีอยู่ที่การเลือกสรรสิ่งดีๆ ที่เหมาะสมให้กับตัวเอง โดยเฉพาะแม่ท้องแล้ว ต้องช่างเลือกเป็นพิเศษ และนี่คืออีกหนึ่งเคล็ดลับในการเลือกบริโภคผลไม้ เพื่อคุณค่าสูงสุดสำหรับแม่ท้อง

ผลไม้ที่ทำให้ผิวสวย เปล่งปลั่ง

ผลไม้ที่ทำให้ผิวสวย เปล่งปลั่ง










  สาวๆ ที่อยากจะมีผิวที่สวย เปล่งปลั่ง ไม่ยากเลย เรามีผลไม้ที่ทำให้ผิวสวย เปล่งปลั่งมาฝากแล้ว รับรองได้เลยว่าคุณผู้หญิงทั้งหลายจะมีผิวพรรณที่สวย ใส เปล่งปลั่งดั่งใจหวังอย่างแน่นอน ที่สำคัญมีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพร่ายกายอีกด้วย

แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยทำให้เล็บแข็งแรง ซึ่งจะมีวิตามินซีที่สามารถช่วยให้ผิวพรรณสวย เปล่งปลั่ง และยังเป็นผลไม้ที่ทานแล้วไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย



มะละกอ จะเป็นผลไม้ที่ทานได้ไม่อ้วนเช่นเดียวกันกับ”แอปเปิ้ล” และยังเป็นผลไม้ที่ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เหมาะกับผู้มีปัญหาท้องผูกมากที่สุดเลยก็ว่าได้

 มะเขือเทศ จะช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทานเล่นๆ หรือปั่นเป็นน้ำผล ไม้ทานก็ดีต่อสุขภาพผิวเช่นกัน

มะนาว เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีที่ว่านี้ก็จะช่วยให้คุณผู้หญิงนั้นมีผิวพรรณที่นุ่มเนียนสดใส และเปล่งปลั่งด้วย
ส้ม ช่วยเสริมสร้าง”คอลลาเจน”ให้กับผิวพรรณ มีความยืดหยุ่น และมีน้ำมีนวล

ฝรั่ง มีวิตามินซีมาก เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ด้วยวิตามินซีที่มีปริมาณสูง

แตงโม ช่วยบำรุงผิวพรรณของคุณผู้หญิง ช่วงล้างไต และของเสียขับปัสสาวะในร่างกาย

กล้วยหอม เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอยู่ท้องได้นาน ไม่หิวง่าย


ถ้าหากทานผลไม้ที่ดีมีประโยชน์ต่อผิวพรรณเป็นประจำ รับรองได้เลยว่าผิวของคุณผู้หญิงจะ”สวยเปล่งปลั่ง” เป็นธรรมชาติอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องทาครีมเพื่อช่วยให้ผิวใสเลยก็ว่าได้ แล้วก็อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าสะอาดระหว่างวันให้มากๆ ด้วย เพื่อผิวพรรณที่ดี และสุขภาพที่ดีอีกด้วย



กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค




กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค (Wellbeing & Health Modernmom)

 
         เมืองไทยมีผลไม้พื้นบ้านราคาย่อมเยาอยู่มากมายที่ให้ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายในปริมาณสูง อีกทั้ง ยังได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ว่าสารเคมีที่อยู่ในผลไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยากระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมถึงเสริมสร้างภูมิต้านทานได้อีกด้วย
ฝรั่ง


ฝรั่ง ผลไม้พื้นบ้านราคาถูก และออกผลตลอดปี ทุกสายพันธุ์ล้วนเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีวิตามินซี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคมากขึ้น จึงสามารถป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ หรือช่วยสร้างรวมทั้งป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันที่เราเคยท่องจำกันในสมัยเด็ก ๆ ได้อีกด้วย

มะเฟือง


มะเฟือง นอกเหนือจากความสวยงามแปลกตาในเรื่องรูปทรงแล้วยังให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มเปี่ยม มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกช่วยขับเสมหะได้

ทับทิม


ทับทิม ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว ออกฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง นอกจากนี้ หากดื่มน้ำทับทิมตอนเช้าวันละ 1 แก้วจะช่วยลดอาการคลื่นไส้ ในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้

มะละกอ


มะละกอแขกดำ ผลไม้สุดร่อยที่มีประโยชน์ใช้สอยอีกมากมาย เนื้อมะละกออุดมไปด้วยวิตามินซี มีเบต้าแคโรทีน ไลโคพีน รวมถึงมีแมกนีเซียม ทองแดง โพแทสเซียมและใยอาหาร เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงให้ผิวพรรณชุ่มชื้น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

ส้มโอ

ส้มโอ ในส้มโอมีสารเพคติน (Pectin) สูง มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและมีสารโมโนเทอร์ปืน ที่ช่วยในการจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้นหากรับประทานส้มโอหลังมื้ออาหารจะช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


มะขาม

มะขาม เนื้อมะขามมีสารแอนทราควินิน (Antraquinone) ซึ่งช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังมีกรดอินทรีย์ (Organic Acid) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาร์ริก (Tartaric Acid) และกรดซิตริค (Citric Acid) มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ เพิ่มกากใยอาหาร และช่วยให้ขับถ่ายสะดวก

มะยม

มะยม เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง มีฤทธิ์ช่วยสมานแผลและใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ


การเลือกกินผลไม้ทุกชนิด นอกจากต้องกินผลไม้ที่สดสะอาดเพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าสูงสุดแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันไปก็คือ การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสม่ำเสมอเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวโรคภัยใด ๆ มากล้ำกรายแล้ว

ผลไม้รักษาโรค

ผลไม้รักษาโรค
ผลไม้ ผลไม้ไทย


ผลไม้ที่ใช้เป็นยา
1. กล้วย
- มีคาร์โบไฮเดรต โปแตสเซียม และวิตามินเอสูง
- ทำให้ปอดชุ่มชื้น แก้กระหาย ถอนพิษ ลดความดันโลหิตสูง
- กินวันละ 1-2 ผล ในตอนเช้า ขณะท้องว่างเป็นประจำทุกวัน จะช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร เลือดออก ท้องผูก
- กินวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1-2ผล จะแก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ำ กระสับกระส่าย คอแห้ง และเจ็บคอ
- เด็กที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารเช่น ลำไส้อักเสบ ควรให้กินกล้วยเพราะเป็นอาหารย่อยง่าย
- มือเท่าแตก เอากล้วยหอมที่สุกงอมเต็มที่ ทาที่มือและเท้าทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง จึงล้างออก ทำก่อนนอนติดต่อกันหลายๆครั้ง
มือและเท้าที่แตกจะค่อยๆหายไป

2. แตงโม
น้ำแตงโม - อมน้ำแตงโมบ่อยๆแก้แผลในปากได้
- ดื่มน้ำแตงโมคั้นจะช่วยบรรเทาอาการลิ้นแห้ง คอแห้ง วิงเวียน นอนไม่หลับ
เปลือกแตงโม - แก้ไตอักเสบ บวมน้ำ ใช้เปลือกแตงโมตากแห้งหนัก 40 กรัม ร่วมกับหญ้าคาสด หนัก 60 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 3 ครั้งใน1วัน
- แก้เบาหวาน ใช้เปลือกแตงโมและเปลือกฟักเขียวอย่างละ 30 กรัม ต้มน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง
- ริมฝีปากแตก เจ็บคอ เอาเปลือกแตงโมแห้ง 30กรัม ต้มน้ำดื่มติดต่อกันหลายๆวัน
- ปวดฟัน เอาเปลือกแตงโมตากแห้งจำนวนพอเหมาะ บดผสมกับเกล็ดการบูร ทาบริเวณฟันที่ปวด
- ปวดเอว ยืดหดตัวไม่ได้ เอาเปลือกแตงโมเขียวๆ ที่ตากแห้งในร่มบดผสมเกลือกิน
ข้อควรระวัง - หากกินแตงโมมากเกินไป อาจทำให้อาหารไม่ย่อยหรือท้องเสียได้
- ผู้ที่มีอาการม้ามพร่อง คือมีอาการร้อนใน มีไข้สูง ปวดหัว ท้องผูก คอแห้ง กระหายน้ำ ตัวร้อน เหงื่อออก ตาแดง ปากเหม็น ลิ้นแห้ง
มีฝ้าสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้มและน้อย ห้ามกินแตงโม
3. มะละกอ
มะละกอดิบ
- ตากแห้ง บดเป็นผง 9 กรัม กินขณะท้องว่าง ตอนเช้าแก้พยาธิตัวตืด พยาธิตัวกลม
- ตากแห้งบดเป็นผงละเอียด ใช้โรยบริเวณผิวหนังที่อักเสบ เป็นผื่นแดง ตุ่มพุพองและแสบคัน วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยรักษาให้หายได้
ใบ ใช้พอกแผลมีหนอง กลาก เกลื้อน และแก้บวม ปวด เจ็บ
ยาง ใช้ย่อยเนื้อ ทำให้เนื้ออ่อนนุ่ม ช่วยย่อยอาหาร ย่อยคราบเลือดและหนองที่แผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง ขับพยาธิและขับประจำเดือน ทากันหูด ตาปลา ติ่งและ
จุดด่างดำ
เมล็ด ขับพยาธิ ขับประจำเดือน ขับลม ใช้ทาแก้กลากเกลื้อนและโรคผิวหนัง
ราก ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน
ดอก ใช้ชงน้ำดื่ม ขับประจำเดือน แก้ไข้ ดีซ่าน ต้มใส่น้ำตาลกินแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจผิดปกติ
4. ลำไย
- มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงประสาท และช่วยย่อยได้เป็นอย่างดี
- ผู้มีร่างกายอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งฟื้นจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือหลังคลอดบุตร กินลำไยกับต้มจืดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
- ผู้มีอาการประสาทอ่อนๆ ประสาทเครียด ขี้ลืม นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เหงื่อออกมา เอาเนื้อลำไยแห้งต้มกับน้ำตาลทรายขาว แล้วเคี่ยวจนเหนียว
ข้น กินวันละ 2 ครั้ง จะแก้อาการดังกล่าวได้
5. ส้ม
- ทำให้ปอดชุ่มชื้น แก้ไอ แก้กระหายน้ำ แก้ฤทธิ์สุรา ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก
- มีผลต่อการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โรคกระเพาะเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย
- กินส้มกับกล้วยหอม วันละ 3 ผล เป็นประจำทุกวัน และกินผักสดให้มาก จะช่วยลดความดันโลหิตสูง
- กินส้มครั้งแรก 3-4 ผล หลังจากนั้น 1-2 ผล วันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการร้อนในกระหายน้ำ คอแห้ง และปัสสาวะเหลือง
- ไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก ใช้ส้ม 1 ผล ไม่ต้องปอกเปลือก น้ำตาลกรวด 15 กรัม ขิงสด 2 แว่น ที่หั่นบางๆแล้ว เอาไปตุ๋นนาน 1 ชั่วโมง กินทั้งเปลือก
อาการดังกล่าวจะลดน้อยและค่อยหายไป
- เมาค้าง ดื่มน้ำส้มคั้น 1 แก้ว จะช่วยให้หายเมาค้างได้
- ใช้เปลือกส้มแช่ในน้ำที่อาบหรือล้างหน้า แล้วใช้น้ำนั้นอาบหรือล้างหน้าเป็นประจำ
- หลอดลมอักเสบ เปลือกส้มตากแห้ง หนัก 30 กรัม กับกระเทียม 15 กรัม นึ่งให้สุกแล้วกิน จะรู้สึกดีขึ้น
6.แอปเปิ้ล
- ทำให้ปอดชุ่มชื้น ช่วยย่อยสารอาหาร ลดกรดในกระเพาะ บำรุงกระเพาะอาหาร บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ ขับร้อน
- มีคุณค่าในทางเป็นยา ดังภาษิตที่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ
- เนื้อแอปเปิ้ลที่เป็นเส้นใยจะทำหน้าที่ถูขัดฟันได้เป็นอย่างดี การเคี้ยวจะทำให้ฟันและเหงือกเรียบ และยังสามารถที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปากได้ด้วย
- ผู้ที่กินแอปเปิ้ลเป็นประจำ วันละผล จะเป็นโรคปวดศรีษะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน
- กินแอปเปิ้ลวันละผลหลังอาหารหรือก่อนนอน จะช่วยให้หายจากเลือดออกตามไรฟัน
- เอาเปลือกแอปเปิ้ลสดมาต้มน้ำดื่มกิน แก้อาการคลื่นไส้ และมีเสมหะได้ผลชะงัก



ทานผักผลไม้ วิธีรักษาสิวแบบประหยัด

ทานผักผลไม้ วิธีรักษาสิวแบบประหยัด

 
ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนชรา ต่างก็เป็นสิวกันได้ทั้งนั้น เราก็เป็นคนหนึ่งที่พบกับปัญหาเป็นสิวตอนแก่..บางคนคิดว่าสิวเป็นเพราะฮอโมนอย่างเดียวแต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นได้หลายสาเหตุไหนๆก็เป็นสิวแล้วไม่หายซะทีคราวนี้ลองมาศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล กันเลยดีกว่าว่าจะกำจัดสิวให้มันหายไปจากใบหน้าของเราไม่กลับมาเป็นอีกได้อย่างไร...
โชคดีไปเจอข้อมูลในอินเตอร์เน็ท..เป็นข้อมูลที่ดีมากเลย หลังจากอ่านจบแล้วมันทำให้เราย้อนคิดไปว่า..โอ้..นี่เราไม่ดูแลร่างกายของเราเลยหรือทำไมมีของเสียสะสมมากมายขนาดนี้ จนร่างกายต้องหาวิธีขับของเสียออกตามจุดต่างๆของร่างกาย ไอ้สิวที่ขึ้นมาที่หน้าไม่หยุดหย่อนนี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ร่างกายพยายามหาทางเอาของเสียออกมาเพราะภายในรับไม่ไหวแล้ว
รู้ความจริงกันซะที...ต้องรีบกลับมาดูแลตัวเองอย่างด่วนๆแล้วล่ะคะ เห็นว่าข้อมูลนี้ดีจริงเราก็เลยเก็บมาเล่าเอามาฝากกัน
มาเริ่มกันที่สาเหตุของการเกิดสิวกันก่อนเลย
แท้จริงแล้วนั้นเกิดจากสาเหตุหลักๆของสิว คือ จากการที่ร่างกายไม่สามารถขับของเสียได้ เลือดมีสิ่งปนเปื้อน มีมลพิษหรือความเป็นกรดสูง ปกติแล้วร่างกายเรา ในร่างกายของเราจะมีกระบวนการขับพิษได้ 4 ทางคือ
1.ไต จะเป็นตัวกรองสารพิษและขับออกมาทางปัสสาวะ
2.ลำไส้ใหญ่ ขับพิษออกทางอุจจาระ
3.ปอด ขับพิษออกโดยลมหายใจออก
4.ผิวหนัง ขับพิษออกทางเหงื่อ

ถ้ากระบวนการขับพิษผิดปกติ ปัสสาวะไม่ดี อุจจาระไม่ดี ท้องผูกเป็นประจำ ปอดขับพิษออกไม่ดีซะแล้ว มันก็เหลือแค่ทางผิวหนังอย่างเดียวที่สามารถขับของเสียออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่า สิว ฝี ไฝ กระ หูด โรคผิวหนังต่างๆ แม้กระทั่งริดสีดวง ก็เกิดจากการที่ร่างกายพยายามขับพิษออกมาทั้งสิ้น
ลักษณะและสีของสิว จะสะท้อนถึงของเสียที่อยู่ภายในร่างกายของเรา จุดที่เกิดสิวก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพิษนั้นอยู่ที่อวัยวะส่วนใดของร่างกาย เช่น
สิวที่แก้ม บอกให้รู้ว่าร่างกายกำลังพยายามกำจัดไขมันและมูกส่วนเกิน ที่มีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารที่ได้จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม น้ำมัน ไขมัน

สิวรอบๆ ปาก บ่งบอกถึงระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายที่เสียสมดุล กระเพาะมีแผล การอักเสบมีกรดในกระเพาะอาหารมาก

สิวที่แก้ม บ่งบอกถึงว่าร่างกายมีการเก็บกรดไขมันและมูก เอาไว้มากเกินไปแล้ว โดยเฉพาะทรวงอก และบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ระวังเป็นซิสต์ เนื้องอกหรือมะเร็ง ที่อวัยวะดังกล่าวได้

สิวสีออกขาว สาเหตุคือนม และน้ำตาลมากเกินไป

สิวสีออกเหลือง สาเหตุคือ เนยแข็ง เนื้อเป็ด เนื้อไก่ และไข่มากเกินไป

สิวสีออกเขียวที่แก้ม แสดงว่ามะเร็งกำลังก่อตัวขึ้นที่เต้านม ปอด และลำไส้ใหญ่

สิวกลางหน้าผากตรงเหนือจมูกและอยู่ระหว่างคิ้ว สีขาว - แสดงว่ามีไขมันแข็งๆ พอกตับ หรือมีอาการก่อตัว
ของนิ่วในถุงน้ำดี

สีแดง – แสดงถึงตับและถุงน้ำดีที่ร้อน
ลองสังเกตุดูนะคะว่าเราเป็นสิวแบบไหน

การรักษาสิวไม่ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องเสียเงินไปตามร้านหมอต่างๆที่ต้องเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่น....การรักษาก็ต้องใช้ความเอาใจใส่กับร่างกายให้มากขึ้น โดยเฉพาะการขับของเสียออกจากร่างกาย เพราะเป็นการรักษาจากภายในให้ออกมาใสภายนอก เพราะถ้าเรารักษาภายนอกอาจจะหายได้จริง แต่ในที่สุดมันก็จะกลับมาเป็นอีกเพราะร่างกายของเรายังมีของเสียอยู่ภายใน..
ในการรักษานั้น 1. ต้องทำการขับพิษออกจากร่างกาย โดย

1.1 อดอาหารโดยดื่มแต่น้ำหรือหรือน้ำผัก หรือน้ำผลไม้
1.2 งดอาหารมื้อเย็น โดยดื่มแต่น้ำผักหรือน้ำผลไม้
1.3 อบสมุนไพรหรืออบไอน้ำ
1.4 กินยาระบาย หรือยาถ่าย เอาของเสียออก
1.5 ใช้วิธีดีทอกซ์ (DETOX) โดยสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ

2. ดื่มน้ำประมาณ 10 แก้วต่อวัน เพื่อหรือลดปริมาณตามน้ำหนักตัว
3. ต้องปรับระบบการย่อยอาหารให้ทำงานได้ดี
4. หลีกเลี่ยงน้ำเย็น,น้ำอัดลม, นมและผลิตภัณฑ์นม ,ของทอด ของมัน ,เนื้อสัตว์ ,ของหวาน
5. รับประทานผัก ผลไม้สด โดยเฉพาะบวบ มะเขือเทศ แครอท
6. เลิกใช้สารเคมีหรือใช้อย่างอ่อน ให้ใช้น้ำมะเฟือง และถั่วเขียวบดละเอียดล้างหน้าแทน
7. เมื่อสิวอักเสบ ใช้ก้อนน้ำแข็งคลึงบ่อยๆ
8. ควรมีการนวดกดจุด เพื่อให้เลือดจม น้ำเหลืองและลมปราณไหลเวียนได้ดี เปรียบเสมือนคำที่ว่า ?เมื่อน้ำไหล มันย่อมไม่เน่า? เฉกเช่นเดียวกับร่างกายคนเรา ถ้าเลือดลมไม่ไหลเวียน มันย่อมเกิดของเสีย

การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด เราจะไม่รักษาแค่ภายนอกโดยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว เราจะรักษา บำบัดจากภายใน...
บำบัดจากภายในบำบัดอย่างไร? ก็คือการบำบัดโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การอยู่ของเราให้ร่างกายทุกส่วน อวัยวะทุกส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสาเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆ นั้นล้วนเกิดจากร่างกายของเราทำงานผิดปกติทั้งนั้น การที่ร่างกายของเราทำงานผิดปกตินั้นก็เกิดจากการที่เราไม่ดูแลร่างกายตัวเอง ทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์กับร่างกาย ดังนั้นเราต้องดูแลร่างกายเรื่องการกินการอยู่ให้ดี โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่มาเยือนท่านง่ายๆ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวบนใบหน้านั้น ก่อนอื่นเราต้องหาสาเหตุของการเกิดสิวก่อน จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ สิวนั้นเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองเกิดจากการทำงานของร่างกายที่ผิดปกติ อย่างเช่นสิวที่เกิดบนหน้าผาก นั้นเป็นเพราะว่าลำไส้ของเรานั้นร้อน สิวที่แก้มเกิดจากปอดของเราร้อน หรือบางคนมีสิวบริเวณรอบๆ ริมฝีปาก นั้นแสดงว่ากระเพาะของเราร้อนมาก อาหารไม่ย่อย ทำให้เกิดพิษขึ้นในร่างกาย พิษต้องถูกขับถ่าย ถ้าอาหารไม่ย่อย ระบบขับถ่ายไม่ดี มันก็จะอัดอั้นอยู่ข้างใน ร้อนอยู่ข้างใน และทำให้เกิดเป็นเม็ดสิวหรือฝีขึ้นมา ทีนี้เกิดสิวขึ้นมาแล้วทำอย่างไร ไม่ให้เกิดสิว

การนวดสามารถรักษาสิวหรือฝีได้ ได้อย่างไร? การนวดคือการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ให้กล้ามเนื้อคายพิษ คายของเสียออกมา ให้เลือดลมหมุนเวียนได้ทั่วร่างกาย ให้อุณหภูมเท่ากันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ใช่ว่าหน้าร้อนมาก แต่เท้าเย็น นั่นก็ทำให้เลือดลมไม่ไหลเวียนลงเท้า ความร้อนก็จะอัดอั้นอยู่ในท้อง ขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้เกิดสิวขึ้นมา เพราะฉะนั้นการนวดก็จะทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี ระบบการย่อยทำงานเป็นปกติ ขับถ่ายสะดวกก็จะทำให้สิวยุบได้ นอกจากการนวดแล้วการกัวซาศาสตร์โบราณของจีนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถขับพิษออกมาได้

แล้วเราจะสังเกตุได้อย่างไรว่าร่างกายเกิดพิษขึ้นมาแล้ว สังเกตุง่ายๆเช่น ดูได้จากลิ้นของท่าน เมื่อท่านแลบลิ้นออกมา ถ้าปรากฏว่าตรงกลางลิ้นของท่าน มีสีแดงๆ หรือมีฝ้าที่ลิ้นเป็นสีเหลืองเข้มๆ นั่นก็แสดงว่ากระเพาะของท่านร้อนมากแล้ว หรือสังเกตุได้จากเวลาเราถ่ายแล้วร้อนตรงก้น นั่นก็มีพิษเกิดในตัวเราแล้วเช่นเดียวกัน ต้องแก้ไข โดยการเพิ่มน้ำให้ร่างกาย ทานน้ำให้เยอะขึ้น แต่อย่าทานน้ำเย็นนะครับเพราะถ้าทานน้ำเย็นแล้วจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า ?เย็นนอกร้อนใน?

จะลองยกตัวอย่างคนที่เป็นสิวกันมาก ก็คือนักเรียนนักศึกษานี่แหละครับที่มักจะเป็นสิวกันมาก พอเป็นสิวก็จะไปหาหมอสิว เอายามาทา ไปรักษาสิวกัน

ลองสังเกต "พฤติกรรมการทานอาหารของนักเรียนนักศึกษา" เวลาทานอาหารก็มักจะมีน้ำขวดนึงวางอยู่ข้างๆ หรือทานข้าวจานนึงกินน้ำไปเหยือกนึง เมื่อทานอย่างนี้แล้วก็จะเกิดอาการอาหารไม่ย่อย เมื่ออาหารไม่ย่อยก็จะเกิดอาการอย่างที่บอกไปแล้วข้างต้นแหละ ว่าจะเกิดพิษขึ้นมาอัดอั้นในร่างกาย แล้วก็จะเกิดเป็นสิวหรือฝีขึ้นมา ทางแก้ก็คือไม่ควรดื่มน้ำเยอะระหว่างทานอาหาร ดื่มได้ซักครึ่งแก้วหรือ 2-3 อึกก็พอ ทานเสร็จแล้วพักไว้ซัก 40 นาทีให้กระบวนการย่อยอาหารผ่านไปก่อนแล้วค่อยดื่มน้ำตาม


แค่นี้ก็ใบหน้าของเราก็จะใสไร้สิวแล้ว ด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งหมอ ไม่ต้องฃื้อยาราคาแพง อีกต่อไป ประหยัดและยังปลอดภัยจากสารเคมีทั้งหลายด้วย รู้อย่างนี้แล้วเราควรควบคุมพฤติกรรมในการดำเนินชิวิตของเรากันดีกว่า